วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

กีฬา

กีฬาสี่ประจำปีสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก

ขบวนนักกีฬาและกองเชียร์ของสีต่างๆ ร่วมเดินเปิดสนาม








วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya)

โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya)

ลักษณะโรค เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรคมีอาการคล้าย ไข้เดงกี แต่ต่างกันที่ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มากจนถึงมีการช็อก

สาเหตุ   เกิดจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya virus) ซึ่งเป็น RNA Virus จัดอยู่ใน genus alphavirus และ family Togaviridae มียุงลาย Aedes aegypti, Ae. albopictus เป็นพาหะนำโรค

 

วิธีการติดต่อ ติดต่อกันได้โดยมียุงลายบ้าน Aedes aegypti เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ  เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้สูง ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือด เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุงและเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย เมื่อยุงที่มีเชื้อ ไวรัสชิคุนกุนยา ไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้คนนั้นเกิดอาการของโรคได้

ระยะฟักตัว  โดยทั่วไปประมาณ 1-12 วัน แต่ที่พบบ่อยประมาณ 2-3 วัน

ระยะติดต่อ   ระยะไข้สูงประมาณวันที่ 2 – 4 เป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก

    อาการและอาการแสดง  ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน

มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายและอาจมีอาการคันร่วมด้วย พบตาแดง (conjunctival injection) แต่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว ส่วนใหญ่แล้วในเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ ในผู้ใหญ่อาการที่เด่นชัดคืออาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้อเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ (migratory polyarthritis) อาการจะรุนแรงมากจนบางครั้งขยับข้อไม่ได้ อาการจะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเกิดขึ้นได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา และบางรายอาการปวดข้อจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงถึงช็อก ซึ่งแตกต่างจากโรคไข้เลือดออก อาจพบ tourniquet test ให้ผลบวก และจุดเลือดออก (petichiae) บริเวณผิวหนังได้

      ความแตกต่างระหว่างDF/DHF กับการติดเชื้อ chikungunya
1.ใน chikungunya  มีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างฉับพลันกว่าใน DF/DHF คนไข้จึงมาโรงพยาบาลเร็วกว่า
2. ระยะของไข้สั้นกว่าในเดงกี ผู้ป่วยที่มีระยะไข้สั้นเพียง 2 วัน พบใน chikungunya ได้บ่อยกว่าใน DF/DHF โดยส่วนใหญ่ไข้ลงใน 4 วัน
3. ถึงแม้จะพบจุดเลือดได้ที่ผิวหนัง และการทดสอบทูนิเกต์ให้ผลบวกได้ แต่ส่วนใหญ่จะพบจำนวนทั้งที่เกิดเองและจากทดสอบน้อยกว่าใน DF/DHF
4. ไม่พบ convalescent petechial rash ที่มีลักษณะวงขาวๆใน chikungunya
5. พบผื่นได้แบบ maculopapular rash และ conjunctival infection ใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในเดงกี
6. พบ  myalgia / arthralgia ใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในเดงกี
7. ใน chikungunya เนื่องจากไข้สูงฉับพลัน พบการชักร่วมกับไข้สูงได้ถึง 15% ซึ่งสูงกว่าในเดงกีถึง 3 เท่า

  ระบาดวิทยาของโรค      การติดเชื้อ Chikungunya virus เดิมมีรกรากอยู่ในทวีปอาฟริกา ในประเทศไทยมีการตรวจพบครั้งแรกพร้อมกับที่มีไข้เลือดออกระบาดและเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย เมื่อ พ.. 2501 โดย Prof.W McD Hamnon แยกเชื้อชิคุนกุนยา ได้จากผู้ป่วยโรงพยาบาลเด็ก กรุงเทพมหานคร

          ในทวีปอาฟริกามีหลายประเทศพบเชื้อชิคุนกุนยา  มีการแพร่เชื้อ 2 วงจรคือ primate cycle (rural type) (คน-ยุง-ลิง)  ซึ่งมี Cercopithicus monkeys หรือ Barboon เป็น amplifyer host และอาจทำให้มีผู้ป่วยจากเชื้อนี้ประปราย หรืออาจมีการระบาดเล็กๆ (miniepidemics) ได้เป็นครั้งคราว เมื่อมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเข้าไปในพื้นที่ที่มีเชื้อนี้อยู่ และคนอาจนำมาสู่ชุมชนเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มียุงลายชุกชุมมาก ทำให้เกิด urban cycle (คน-ยุง) จากคนไปคน โดยยุง Aedes aegypti และ Mansonia aficanus เป็นพาหะ
          ในทวีปเอเซีย การแพร่เชื้อต่างจากในอาฟริกา การเกิดโรคเป็น urban cycle จากคนไปคน โดยมี Ae. aegypti เป็นพาหะที่สำคัญ ระบาดวิทยาของโรคมีรูปแบบคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้อที่นำโดย Ae. aegypti อื่นๆ ซึ่งอุบัติการของโรคเป็นไปตามการแพร่กระจายและความชุกชุมของยุงลาย หลังจากที่ตรวจพบครั้งแรกในประเทศไทย ก็มีรายงานจากประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ เขมร เวียตนาม พม่า ศรีลังกา อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
            โรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เมื่อประชากรยุงเพิ่มขึ้นและมีการติดเชื้อในยุงลายมากขึ้น พบโรคนี้ได้ในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งต่างจากไข้เลือดออกและหัดเยอรมันที่ส่วนมากพบในผู้อายุน้อยกว่า 15 ปี ในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคชิคุนกุนยา 6 ครั้ง ในปี พ.. 2531 ที่จังหวัดสุรินทร์  .. 2534 ที่จังหวัดขอนแก่นและปราจีนบุรี  ในปี พ.. 2536 มีการระบาด 3 ครั้งที่จังหวัดเลย นครศรีธรรมราช และหนองคาย
           
การรักษา

ไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง (specific treatment) การรักษาเป็นการรักษาแบบประคับประคอง (supportive treatment) เช่นให้ยาลดอาการไข้ ปวดข้อ และการพักผ่อน


เอกสารอ้างอิง
            1. สุจิตรา นิมมานนิตย์. Chikungunya Infection . ใน : ศิริศักดิ์ วรินทราวาท, คำนวณ อึ้งชูศักดิ์, ชไมพันธ์ สันติกาญจน์, นฤมล ศิลารักษ์, ประวิทย์ ชุมเกษียร, องอาจ เจริญสุข, และคณะ, บรรณาธิการ. รายงานการเฝ้าระวังโรคประจำสัปดาห์.  ปีที่ 27  ฉบับที่7.  16 กุมภาพันธ์ 2539  กรุงเทพมหานคร: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์; 2539. หน้า 77- 87
          2. ลักขณา ไทยเครือ, องอาจ เจริญสุข, สุนทร เหรียญภูมิการกิจ, ประเสริฐ ดิษฐสมบูรณ์,  รัศมี ผลจันทร์, อนันต์ นิสาลักษณ์. โรค Chikungunya ในประเทศไทยและการสอบสวนและศึกษาโรค จังหวัดหนองคาย .. 2538-2540  กองระบาดวิทยา สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมแพทย์ทหารบก. เอกสารอัดสำเนา
          3. สุนทร เหรียญภูมิการกิจ. รายงานการสอบสวนไข้ออกผื่น ปวดข้อ อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 11 สิหาคม 2538 กองระบาดวิทยา สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข.  .. 2538.  เอกสารอัดสำเนา
          4. ลักขณา ไทยเครือ, องอาจ เจริญสุข. โรค Chikungunya : โรคติดเชื้อที่กลับมาเป็นปัญหาใหม่จริงหรือ?. ใน : ศิริศักดิ์ วรินทราวาท, คำนวณ อึ้งชูศักดิ์, ชไมพันธ์ สันติกาญจน์, นฤมล ศิลารักษ์, ประวิทย์ ชุมเกษียร, องอาจ เจริญสุข, และคณะ, บรรณาธิการ. รายงานการเฝ้าระวังโรคประจำสัปดาห์.  ปีที่ 27  ฉบับที่16  19 เมษายน 2539  กรุงเทพมหานคร: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์; 2539. หน้า 193- 203
5. ลักขณา ไทยเครือ, องอาจ เจริญสุข. โรค Chikungunya : โรคติดเชื้อที่กลับมาเป็นปัญหาใหม่จริงหรือ. ใน :  ศิริศักดิ์ วรินทราวาท, คำนวณ อึ้งชูศักดิ์, ชไมพันธ์ สันติกาญจน์, นฤมล ศิลารักษ์, ประวิทย์ ชุมเกษียร, องอาจ เจริญสุข, และคณะ, บรรณาธิการ. รายงานการเฝ้าระวังโรคประจำสัปดาห์  กองระบาดวิทยา ปีที่ 27  ฉบับที่17  26 เมษายน 2539  กรุงเทพมหานคร: องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์; 2539.  หน้า 205- 218

การศึกษาดูงาน




 นักศึกษามหาวิทยาลัยนเรศวร ศึกษา ดูงาน ศูนย์เรียนรู้  ของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลงที่ 9.1 พิษณุโลก

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่องพาหะนำโรคไข้มาลาเรีย


ยุงพาหะนำโรคมาลาเรีย
                ยุงก้นปล่องจัดอยู่ใน Subfamily Anophelinae ลักษณะที่สำคัญระยะตัวเต็มวัยคือ ส่วน
palpi ยาวเท่ากับงวงปาก (proboscis) เวลาเกาะพักจะมีลำตัวตั้งเป็นเส้นตรง ระยะลูกน้ำเวลาลอย
ตัวจะขนานไปกับผิวน้ำ เนื่องจากไม่มีท่อหายใจ ยุงในกลุ่มนี้ที่พบในประเทศไทยมีประมาณ 72
ชนิด แต่ที่มีรายงานว่าเป็นพาหะนำโรคมาลาเรียได้แก่
                Anopheles minimus ชอบวางไข่ตามลำธารน้ำใสไหลเอื่อยๆ มีหญ้าปกคลุมและมีแสง
แดดส่องถึง ชอบกินเลือดคนมากกว่าเลือดสัตว์ เวลากลางวันจะเกาะพักตามฝาบ้าน ตามมุมมืด
พบได้  ทั่วทุกภาคของประเทศ
                Anopheles dirus ชอบวางไข่ตามแหล่งน้ำขังเช่นหลุมบ่อ รอยเท้าสัตว์ซึ่งอยู่ในที่ร่มทึบ
ชอบกัดคน พบหากินตั้งแต่พลบค่ำและชุกชุมมากในเวลาดึก ออกหากินทั้งในบ้านและนอกบ้าน
เวลากลางวันชอบพักอาศัยนอกบ้าน พบตามป่าทึบทุกภาคของประเทศ
                Anopheles maculatus ชอบวางไข่ในแหล่งน้ำคล้ายของ An. minimus พบทุกภาคของ
ประเทศ แต่มีบทบาทในการแพร่โรคเฉพาะท้องที่ภาคใต้ของประเทศ ชอบกัดทั้งคนและสัตว์ ออก
หากินตั้งแต่พลบค่ำทั้งในบ้านและนอกบ้าน
                Anopheles sundaicus พบตามเกาะต่าง ๆ ชอบวางไข่ในน้ำกร่อยตามแอ่งหินริมทะเล
ชอบกัดคนและสัตว์ ออกหากินตั้งแต่พลบค่ำทั้งในบ้านและนอกบ้าน พบกระจายอยู่ทุกภาคของ
ประเทศ                 และมียุงก้นปล่องบางชนิดที่สงสัยว่าอาจจะเป็นพาหะนำโรคมาลาเรียในประเทศไทยได้
แก่ An. campestris, An. philippinensis และ An. culicifacies เป็นต้น
ความสำคัญทางการแพทย์
                ยุงบางชนิดในกลุ่มยุงก้นปล่องนี้จัดเป็นยุงพาหะนำโรคมาลาเรีย ซึ่งเกิดจากเชื้อพลาสโม
เดียม (Plasmodium) สำหรับที่พบในประเทศมี 4 ชนิด คือ P. vivox, P. ovale, P. falcipaum และ
P. malariae เมื่อยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะได้รับเชื้อพลาสโมเดียมจากการกัดกินเลือดผู้ป่วยโรค
มาลาเรีย หลังจากนั้นประมาณ 7 - 20 วัน ยุงก้นปล่องพาหะนี้ ก็พร้อมที่จะถ่ายเชื้อพลาสโมเดียม
แก่คนที่ถูกกัดกินเลือดต่อไป ซึ่งเชื้อพลาสโมเดียมนี้จะคงอยู่ในตัวยุงก้นปล่องพาหะนี้ ตลอดอายุขัย
ประมาณ  1 - 3 เดือน
 วงจรชีวิตและอุปนิสัยของยุงก้นปล่อง
                ยุงก้นปล่องมีการเจริญเติบโตแบบสมบูรณ์ (Complete metamorphosis) มี 4 ระยะคือ
ระยะไข่ใช้เวลาประมาณ 2 วัน ระยะลูกน้ำใช้เวลาประมาณ 15 -16 วัน ระยะตัวโม่งใช้เวลา
ประมาณ 3 - 4 วัน ก็จะลอกคราบเป็นตัวเต็มวัย หลักจากลอกคราบประมาณ 24 ซม. ก็จะจับคู่
ผสมพันธุ์ จากนั้นตัวเมียก็ไปกัดกินเลือดเพื่อนำมาสร้างไข่ โดยจะวางไข่เป็นฟองเดียว ๆ บนผิวน้ำ
ขณะที่บินเรี่ย ๆ หรือลอยตัวบนผิวน้ำ วางไข่ครั้งละ 150 - 200 ใบ ตลอดอายุขัยของตัวเมีย
ประมาณ 3 เดือน วางไข่ได้  3 ครั้ง โดยชอบวางไข่ในน้ำใส่, แหล่งน้ำไหล, ลำธาร, เองน้ำตามโขด
หิน ซึ่งจะขึ้นกับอุปนิสัยของยุงก้นปล่องชนิดนั้น ๆ ช่วงเวลาการหากินของยุงก้นปล่องตัวเมียหากิน
เลือดเวลากลางคืน ตอนกลางวันชอบเกาะพักตามพุ่มไม้ ยุงก้นปล่องมีความสามารถในการบิน
โดยปกติจะบินได้ไกลประมาณ   3 ก.ม.
การป้องกันกำจัด ยุงก้นปล่อง
                1. ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ ได้แก่การถากถางริมลำธารให้กระแสน้ำไหลได้เร็ว กลมถม
แหล่งน้ำที่ไม่ประโยชน์ ซึ่งกิจกรรมนี้ประชาชนในพื้นที่สามารถร่วมดำเนินการ
                2. การควบคุมระยะลูกน้ำ ซึ่งมีวิธีการควบคุมหลายวิธี ซึ่งขึ้นกับความเหมาะสมหรือความ
จำเป็น  การใช้การปล่อยปลากินลูกน้ำในแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงก้นปล่อง เช่นปลาหางนกยูง, ปลา
แกมบูเซีย, การใช้สารจุลินทรีย์ เช่น Bacillus Thuringiensis กำจัดลูกน้ำซึ่งสารจุลินทรีย์นี้จะมีผล
กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เพราะจะไปฆ่าเฉพาะลูกน้ำยุงปลาหรือสัตว์มีชีวิตชนิดอื่นจะไม่เป็น
อันตราย, การใช้สารเคมี เช่น abate
                3. การควบคุมระยะตัวเต็มวัย ในการพ่นเคมีที่มีฤทธิ์ตกต้างตามฝาผนังบ้านเรือน เพื่อตัด
วงจรการแพร่เชื้อของยุงก้นปล่อง โดยใช้สารเคมี เช่น DDT เฟนิโทรไธออน ซึ่งดำเนินการโดยกอง
มาลาเรีย, การชุบมุ้งด้วยสารไพรีทรอย
                4. การให้สุขศึกษา ให้ประชาชนรู้จักการป้องกันตัวเองจากการกัดของยุงก้นปล่อง เมื่อเข้า
ไปในเขตที่มีการระบาดของโรคมาลาเรีย เช่น นอนในมุ้ง, ใช้ยาทากันยุง, การกินยาป้องกัน เป็นต้น
ตลอดจน เมื่อสงสัยว่าเป็นไข้มาลาเรียให้ไปพบเจ้าหน้าที่สาธารสุข หรือมาลาเรียคลีนิค

ความรู้ยุงพาหะนำโรคไข้เลือดออก

ยุงพาหะนำโรคไข้เลือดออก
 

                สำหรับในประเทศยุงพาหะที่นำโรคไข้เลือดออก มียุงลายชนิด Aedes aegypti ซึ่งเป็น
พาหะหลักที่สำคัญ และยุงลายชนิด Aedes albopictus ซึ่งมีความสำคัญรองลงมา ลักษณะที่ใช้
จำแนกยุงลายชนิด Ae. aegypti คือ ด้านหลังของส่วนอกมีเกล็ดขาวลักษณะคล้ายเคียว ความสำคัญทางการแพทย์
                ยุงลายทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ ซึ่งมีถึง 4 แบบ
เมื่อยุงลายไปกัดผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคนี้ก็จะได้รับเชื้อไวรัสเดงกี่ ซึ่งมีระยะฟักตัวในตัวยุง(extrinsic
incubation) ประมาณ 8-10 วัน ยุงลายนี้ก็พร้อมจะถ่ายเชื้อไวรัสแก่คนต่อไปเมื่อไปกัดกินเลือด
โดยเชื้อไวรัสนี้จะอยู่ไปตลอดอายุขัยของยุงลายประมาณ 1- 3 เดือน ประกอบกับมีการศึกษาพบว่า    
ยุงลายนี้สามารถนำเชื้อไวรัสผ่านทางไข่ได้
วงจรชีวิตและอุปนิสัยของยุงลาย
                มีการเจริญเติบโตแบบสมบูรณ์ (Complete metamorphosis) มี 4 ระยะ คือระยะไข่ ใช้
เวลาประมาณ 1 - 2 วัน  แต่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมไข่ของยุงลายสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้
ถึง     1 ปี เมื่อมีน้ำก็สามารถฟักเป็นลูกน้ำได้ ระยะลูกน้ำใช้เวลาประมาณ 6 - 10 วัน ระยะตัวโม่ง
ใช้เวลาประมาณ 1 - 2 วัน ก็จะลอกคราบเป็นตัวเต็มวัย หลักจากลอบคราบประมาณ  24  ชม.  ก็
จะจับคู่ผสมพันธุ์ ซึ่งยุงจะมีการผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียว ตัวเมียก็จะไปกัดกินเลือดเพื่อนำมาสร้าง
ไข่, ตัวผู้ก็จะกินน้ำหวาน โดยที่ยุงลายตัวเมียชอบกัดกินเลือดคน มีระยะการตั้งท้องประมาณ 3 วัน
โดยจะวางไข่ติดแน่นกับด้านข้างของภาชนะเหนือระดับน้ำ วางไข่ครั้งละประมาณ 100 - 140 ฟอง
ตลอดอายุขัยสามารถวางไข่ได้  3 ครั้ง โดยชอบที่วางไข่ในน้ำสะอาดในภาชนะที่มนุษย์สร้างขึ้นเท่า
นั้น     เช่น ตุ่ม, โอ่ง, แจกัน, ถังซีเมนต์, จานรองขาตู้กันมด, กะลา, กระป๋อง, ยางรถยนต์  เป็นต้น        
ช่วงเวลาการหากินของยุงตัวเมียหากัดกินเลือดคนเวลากลางวัน สำหรับแหล่งเกาะพักชอบเพาะ
พักตามสิ่งห้อยแขวน  เช่น  เสื้อผ้า, มุ้ง  เป็นต้น ยุงลายเป็นยุงที่ไม่มีนิสัยบินไกลพบว่ามีรัศมีการบิน
ไม่เกิน 100 เมตร
การป้องกันกำจัดยุงลาย
                เนื่องจากยุงลายมีแหล่งเพาะพันธ์ภายในบ้านเรือน คงเป็นไปได้ยากที่จะให้เจ้าหน้าที่ของ
รัฐเข้าไปควบคุมได้ทุกบ้านเรือน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ประชาชนต้อร่วมมือกันในการควบคุมยุง
ลาย ก่อนที่ยุงลายจะเพิ่มจำนวนก่อให้เกิดจากระบาดของโรคไข้เลือดออกได้ จากการคำนวณพบ
ว่าเพียง 100 วัน จากยุงลายตัวเมีย 1 ตัว สามารถเพิ่มลูกหลานยุงลายเป็นจำนวนถึง 9,537 ตัว
สำหรับวิธีการควบคุมยุงลายจะแน่นไปที่การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ ดังวิธีการต่อไปนี้
                1. การควบคุมระยะลูกน้ำ
                   1.1 การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ที่ไม่จำเป็น โดยการทำลายทิ้งภาชนะที่ไม่ใช้ เช่น กะลา,
                        เศษแก้ว, เศษขยะที่ขังน้ำ เป็นต้น
                   1.2 สำหรับภาชนะที่ใส่น้ำในบ้านเรือน เช่น ตุ่มน้ำ ควรมีฝาปิด และหมั่นหมุนเวียร
                        เปลี่ยนถ่ายน้ำ, สำหรับตุ่มน้ำที่นาน ๆ ใช้ควรใช้ผ้าพลาสติกปิด หรือใช้ตาข่าย
                        ไนลอนปิด, สำหรับจานรองขาตู้, แจกัน ควรเปลี่ยนน้ำให้บ่อย หรืออาจใส่เกลือลง
                        ในจานรองขาตู้
                   1.3 อาจใช้สารกำจัดลูกน้ำเมื่อมีความจำเป็นเช่น abate, จุลินทรีย์ฆ่าลูกน้ำ เช่น  BTI
                   1.4 ใช้ปลาหางนกยูง , ลูกน้ำยุงยักษ์ ใส่ในภาชนะขังน้ำต่าง ๆ เพื่อกินลูกน้ำ
                2. การควบคุมตัวเต็มวัย
                   2.1 สำหรับสภาพแวดล้อมในบ้านเรือน โดยทำความสะอาดเก็บเสื้อผ้าสิ่งห้อยแขวน
                        ต่างๆ ให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเกาะพักของยุงลาย
                   2.2 ตบหรือตีให้ตายขณะบินหรือมาเกาะกัด
                   2.3 ใช้ผลิตภัณฑ์เคมีพ่นที่ใช้ในบ้านเรือน  เช่น  กระป๋องฉีดพ่นฆ่าแมลงที่ขายในท้อง
                        ตลาดโดยเลือกชนิดที่ใช้กับยุงหรือแมลงบิน  พ่น และปิดห้องทิ้งไว้ประมาณ
                        30 นาที แล้วค่อยเช็ดทำความสะอาดห้อง

                   2.4 สำหรับการควบคุมโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มีการพ่นหมอกควันและการพ่น
                        ละอองฝอย โดยใช้สารเคมีพวก malathion , permethrin